เสาหลักทางเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับเศรษฐกิจมีความเป็นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การประกาศจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาค จนนำมาสู่ความร่วมมือด้านอื่น เช่น ความตกลงว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากร ที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff: CEPT) กรอบข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการค้าและบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services: AFAS) กรอบข้อตกลงว่าด้วยเขตการลงทุนอาเซียน (Framework Agreement on ASEAN Investment Area: AIA) และข้อตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) เป็นต้น
ประกอบกับการเกิดขึ้นของอาเซียนที่รับเอาความร่วมมือภายนอกในการเปิดการค้าเสรี เช่น กลุ่มอาเซียน+3 คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน+6 คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมกันจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อินเดีย และนิวซีแลนด์ การเปิดการค้าเสรีทั้งระดับภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับประเทศอื่นๆ ทำให้การเตรียมพร้อมของไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ในด้านของเสาหลักทางเศรษฐกิจ (Economic pillar) ผ่านกรอบการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้านเศรษฐกิจ หรือ ASEAN Economic Community (AEC) Blueprint ซึ่งมีประเด็นที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวตามกรอบข้อตกลงดังนี้
-
การสร้างตลาดและฐานการผลิตเดียว (Single Market and Production Base)
-
ส่งเสริมเสรีในการเคลื่อนย้ายสินค้า (Free flow of good) เพื่อสร้างเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้สามารถเป็นศูนย์การผลิตในระดับห่วงโซ่อุปทาน สากลได้ เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับการลดภาษี การลดการจำกัดข้อกีดกันทางการค้า การวางกรอบเชิงสถาบันเกี่ยวกับกฎเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า และการให้อำนวยความสะดวกในการค้าและการผลิต เป็นต้น
-
ส่งเสริมเสรีในการเคลื่อนไหวด้านบริการ (Free flow of services) เช่น การบริการทางการเงิน การบริการด้านการประกอบธุรกิจ การบริการด้านการสื่อสารข้อมูลสารสนเทศ การบริการด้านสุขภาพ การบริการด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น
-
ส่งเสริมการเปิดเสรีทางด้านการลงทุน (Free flow of investment) จะเป็นการพัฒนา ต่อยอดจากกรอบข้อตกลงว่าด้วยเขตการลงทุนอาเซียน (Framework Agreement on ASEAN Investment Area: AIA) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งกัน (Competitiveness) ในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment: FDI) และการลงทุนจากแหล่งทุนภายในอาเซียน (Intra-ASEAN Investment) ในการพัฒนา และรักษาพลวัตรในการพัฒนาเศรษฐกิจอาเซียนให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
-
ส่งเสริมการเปิดเสรีด้านแหล่งเงินทุน (Free flow of capital) เพื่อทำให้ตลาดอาเซียน ด้านแหล่งทุนสามารถพัฒนาและรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สนับสนุนให้มีการเปิดเสรีทุนอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งในด้านการจัดการหนี้ การกระจายความเสี่ยง และการสนับสนุน ในการแลกเปลี่ยนค่าเงินต่างๆ
-
ส่งเสริมการเคลื่อนไหวอย่างเสรีของแรงงานที่มีฝีมือ (Free flow of skilled labour) เป็นหนึ่งในสาระสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็น “แรงงานที่มีฝีมือ” สามารถเคลื่อนไหวในการเข้าไปสร้างผลิตภาพทางการผลิตสินค้าและบริการ อย่างเสรี โดยไม่ติดขัดในเรื่องของกฎระเบียบและสัญชาติ อาจมีการปรับกฎระเบียบ ในการเข้าออกในประเทศสมาชิกอาเซียน รวมไปถึงความร่วมมือในการพัฒนาแรงงาน ของเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network: AUN)
-
ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มสาขาภาคส่วนทางเศรษฐกิจต่างๆ (Priority Integration Sectors) เพื่อทำให้เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนเติบโตไปได้พร้อมกัน มีการบูรณาการ ภาคส่วนต่างๆ ทั้งการผลิต แหล่งทุน และทรัพยากร ในระดับ SMEs ระดับชาติ จนไปถึงระดับภูมิภาค ในด้านนี้อาจย้อนไปถึงกรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญ ของอาเซียน (Framework Agreement for the Integration of the Priority Sectors) ที่มีการทำขึ้นในปี พ.ศ. 2547 ด้วย
-
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ (Food, Agriculture and Forestry) ทั้งการค้าภายในอาเซียนและอาเซียนกับประเทศอื่น (intra- and extra-ASEAN) เพื่อส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันด้านอาหาร สินค้าเกษตร ประมง และป่าไม้ ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน รวมไปถึงการมีข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้าด้านอาหาร สินค้าเกษตร ประมง และป่าไม้ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น สำหรับการค้าเสรีและสุขอนามัย
-
การสร้างการแข่งขันทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ผ่านการเปลี่ยนกฎกติกาและสถาบันต่างๆ
-
การเปลี่ยนแปลงนโยบายในการแข่งขันทางการค้า (Competition policy)
-
การให้ความคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer protection) ผ่านคณะกรรมการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค (ASEAN Committee on Consumer Protection : ACCP)
-
หลักการในเรื่องการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญหา (Intellectual Property Rights: IPR) ผ่าน Work Plan for ASEAN Cooperation on Copyrights เป็นต้น
-
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure development) ทั้งในด้านการขนส่ง คมนาคม ผ่านแผนปฏิบัติการว่าด้านการคมนาคมอาเซียน (The ASEAN Transport Action Plan: ATAP) ที่มีมาตรการย่อยทั้งหมด 48 มาตรการสำหรับการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และรวมไปถึงการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล (information infrastructure) สำหรับติดตามการเจริญเติบโตและศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจอาเซียน
-
การปรับตัวในด้านของภาษี (Taxation)
-
การปรับตัวเพื่อรองรับการค้าออนไลน์ (E-Commerce)
-
การสร้างความเป็นธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ (Equitable Economic Development)
-
การพัฒนา SME ภายใต้กรอบ The ASEAN Policy Blueprint for SME Development (APBSD) เพื่อส่งเสริมให้หน่วยธุรกิจขนาดย่อยในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจได้
-
ส่งเสริมความริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration: IAI) เพื่อทำให้การรวมตัวของของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะช่วยในการลดช่องว่างของการพัฒนา (narrowing the development gap: NDG) ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม (ASEAN-6) และกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่ (CLMV) เช่น การลดปัญหาความยากจน ยกระดับความเป็นอยู่ของประชากร พัฒนาระบบราชการ และเสริมสร้างขีดความสามารถ ในการแข่งขัน
-
การพัฒนาเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลก (Integration into the Global Economy)
-
วางกรอบเพื่อสร้างความสอดคล้องในการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจภายนอก (Coherent Approach) ทั้งในด้านของการเปิดการค้าเสรีและการสร้างความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจ
-
สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการเป็นเครือข่ายอุปทานระดับโลก เพื่อให้ประเทศสมาชิก อาเซียนสามารถพัฒนาศักยภาพและผลิตภาพในทางอุตสาหกรรมเพื่อแข่งขันในระดับสากล
แผ่นภาพ: พัฒนาการของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ที่มา : กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนจึงไม่ใช่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์ร่วมกันระหว่างประเทศเพื่อให้เกิด “อัตลักษณ์อาเซียน” ที่เน้นในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนการรักษามรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในอาเซียน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขึ้น โดยก้าวผ่านข้อจำกัดในเรื่องของ “ชาตินิยม” ของแต่ละประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามความต้องการของอาเซียนภายใต้คำขวัญที่ว่า “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (one vision, one identity, one community)
อ้างอิง
เสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง
รูปภาพโดย : http://www.108acc.com/index.php?lite=article&qid=42042308
ในความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับอาเซียน ในฐานะที่เป็นความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความโดดเด่นในด้านของเศรษฐกิจและสังคม มากกว่าเรื่องของ “การเมืองและความมั่นคง” เพราะพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกต่างหลากหลายมาก ทั้งในเรื่องลัทธิความเชื่อทางการเมืองแบบสังคมนิยม ประชาธิปไตย และรัฐบาลทหาร ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน การแบ่งแยกดินแดน ความขัดแย้งทางศาสนา การก่อการร้าย ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และปัญหาชนกลุ่มน้อย ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ บรรทัดฐานหนึ่งของความร่วมมือในภูมิภาคจึงในไปในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ส่วนเรื่องการเมืองจะละไว้ในส่วนของการ “ไม่แทรกแซง” กิจการภายในประเทศของประเทศสมาชิก (The Principle of Non-Interference)
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงที่มาและต้นกำเนิดของอาเซียนจะพบว่าเป้าหมายของอาเซียนในเริ่มแรกเป็นเรื่องของ “ความมั่นคง” ในภูมิภาคเป็นหลัก โดยการเกิดขึ้นของอาเซียนตั้งแต่ปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 มีประเทศผู้ก่อตั้งแรกเริ่ม 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ในฐานะประเทศที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับความขัดแย้ง ทางการเมืองในช่วงสงครามเย็น ภายใต้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิดของญี่ปุ่น ภายใต้แนวความคิดนโยบายต่างประเทศแบบ The Fukuda Doctrine ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมืองแบบทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ รวมไปถึงข้อตกลงเรื่องความมั่นคงต่างๆ เช่น ปฏิญญากำหนดให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่สันติภาพ เสรีภาพ และเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality: ZOPFAN) และสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asian Nuclear Weapon-Free-Zone) เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ในด้านของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community: APSC) จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าด้านเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม ภายใต้แนวทางการเตรียมความพร้อมภายใต้แนวทางด้านประชาคมการเมืองและความมั่นคง หรือ ASEAN Political-Security Community (APSC) Blueprint จะเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทย ใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย
-
การสร้างประชาคมที่ยึดในกฎกติกาและมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมีหลักการคุณค่าร่วม และบรรทัดฐานในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความยุติธรรมทางสังคม รวมถึงการยึดมั่นในความอดทนอดกลั้นในการอยู่ร่วมกันและการประสานคุณค่าและอัตลักษณ์ระหว่างกัน
-
การสร้างประชาคมที่มีความเข้มแข็งในการปรับตัว (resilient community) ในด้าน ของเสรีภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพให้กับภูมิภาค อย่างมีความรับผิดชอบร่วมกันในมิติด้านความมั่นคง (comprehensive security)
-
การสร้างประชาคมที่สามารถมีความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาคอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง ในสากลโลก
-
การสร้างประชาคมที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากรอบกติกาเชิงสถาบันเพื่อพัฒนาความร่วมมือในอาเซียนอย่างประสิทธิภาพและประสิทธิพล ภายใต้กลไกต่างๆ ของอาเซียน ทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับสากล
ตัวอย่างของความร่วมมือในด้านประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน คือ การประชุมระดับรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Minister’s Meeting) มีเป้าหมายของการประชุมเพื่อสนับสนุนให้เกิดสันติภาพและเสรีภาพในภูมิภาค โดยผ่านการหารือกับประเทศคู่เจรจา และความร่วมมือในด้านความมั่นคงและการป้องกัน อันนำไปสู่การหารืออย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายการทหารให้มีความร่วมมือในด้านการป้องกันและความมั่นคงภายในอาเซียน รวมทั้งกับประเทศคู่เจรจา ของอาเซียนมากขึ้นด้วย และเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน ผ่านการทำความเข้าใจจากความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ทั้งในด้านการป้องกันและความมั่นคง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและ เปิดกว้างมากขึ้น ที่นำไปสู่ความร่วมมือทางด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค เช่น แนวคิดว่าด้วยการสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศแห่งอาเซียน (Concept Paper on the Establishment of ASEAN Defence Industry Collaboration: ADIC) และแนวคิดว่าด้วยการตั้งโครงข่ายศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพแห่งอาเซียน (Concept Paper on the Establishment of ASEAN Peacekeeping Centres Network) เป็นต้น
อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Right: AICHR) ในฐานะที่เป็นกลไกระดับอาเซียนในการเข้ามาดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอาเซียน เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อเสริมความพยายามระดับประเทศและระหว่างประเทศด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และสนับสนุนการยึดถือมาตรฐานระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาและแผนปฏิบัติการเวียนนา และตราสารว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นภาคี
อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทย ตามรายงานของกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถึงอุปสรรคและความท้าทายในด้านของการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนไว้ดังนี้
-
ปัญหาอุปสรรคสำคัญที่สุดในเสาการเมืองและความมั่นคงอาเซียน คือการสร้างค่านิยมร่วมกัน เนื่องจากความหลาก หลายของวัฒนธรรมการเมือง (Political Culture) ของประเทศสมาชิกอาเซียน และการที่แต่ละประเทศยังไม่มุ่งไปสู่การสร้าง ผลประโยชน์ร่วมกันของประชาคมอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งของปัญหาเกิดจากการที่ระบบสถาบัน ของอาเซียนที่จะช่วยส่งเสริมค่านิยม อาเซียนยังอ่อนแอ โดยเฉพาะสำนักเลขาธิการอาเซียน
-
ความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การที่ยังมีประเด็นที่มีความอ่อนไหวสูงในแต่ละประเทศสมาชิกต่างๆ หรือ ระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งสร้างข้อจำกัดให้กับการที่อาเซียน จะใช้กลไกของตนได้การเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาความท้าทาย เหล่านี้เช่นกรณีที่ เกือบทุกประเทศ ไม่ประสงค์ที่จะให้อาเซียนมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศ แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะมีนัย หรือผลกระทบในระดับภูมิภาคก็ตาม เช่นเรื่องพัฒนาการ ในเมียนมาร์หรือปัญหาหมอกควัน เป็นต้น อีกทั้งไม่ประสงค์ให้อาเซียน มายุ่งเกี่ยวกับปัญหาทวิภาคีโดยเฉพาะปัญหาเขตแดน (ซึ่งในกรณีของข้อขัดแย้งระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย ในปี 2552 ทั้งสอง ประเทศได้ใช้กลไกของ International Court of Justice (ICJ) มากกว่ากลไกอาเซียนในการแก้ข้อพิพาททางเขตแดน)
-
แม้ว่าอาเซียนจะพยายามสร้างหลักการของ ASEAN centrality ในภูมิภาค แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจได้สร้าง ข้อจำกัดให้กับอาเซียนในการที่จะผลักดันให้กลไกต่างๆในภูมิภาคเป็น ASEAN agendaในเรื่องของความมั่นคงในภูมิภาค นอกจากนี้ โดยที่ความมั่นคงในภูมิภาคยังต้องพึ่งพาอาศัยบทบาทของประเทศนอกภูมิภาค ดังนั้น อาเซียนยังจำเป็นต้องสร้างหุ้นส่วนสำคัญ กับประเทศนอกภูมิภาค และในบางกรณียังต้องใช้วิธีการ Balance of Power เพื่อไม่ให้มหาอำนาจใดมาครอบงำภูมิภาค
-
ปัญหาอุปสรรคอีกอันหนึ่งคือการที่ยังไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องจากประเทศต่างๆ ยังอยู่ในสภาพที่ต้องแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่น ในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลซึ่งมีส่วน ให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นในทะเลจีนใต้เป็นต้น
ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรต้องเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนผ่านการส่งเสริมการสร้างสันติภาพ เสรีภาพ และยึดหลักการของประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม เป็นหลัก ผ่านการร่วมมือกับประชาชนและประเทศสมาชิกในการสร้างประชาคมที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง เพื่อให้อาเซียนเป็นกลไกในการร่วมแก้ไขปัญหาทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมไปถึงการเป็นตัวแทนในการเจรจาหาทางออกในประเด็นปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจากภัยคุกคามแบบดั้งเดิม (Traditional threats) อย่างความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการใช้กำลังอาวุธ และภัยคุกคามแบบใหม่ (non-traditional threats) อย่างเรื่องของความมั่นคง ของมนุษย์ด้วย
อ้างอิง
เสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม
ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อีกหนึ่งเสาหลักสำคัญคือเสาหลักด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC) ในการรวมกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีการสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การแบ่งบัน และความเห็นอกเห็นใจในช่องว่างของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อสร้างความที่มีคุณภาพและชีวิตที่มีคุณภาพ (quality of life) ด้วยกิจกรรมและความร่วมมือต่างๆ ที่ยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง (people-oriented) เป็นมิตรกับสิ่งแสดล้อม (environmentally friendly) และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน (geared towards the promotion of sustainable development)
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดคล้องกับการสร้างสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนร่วมกัน ภายใต้กรอบของการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint) ที่เน้นในประเด็นสำคัญ 6 ด้าน คือ
-
เพื่อให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development) เช่น การให้ความสำคัญ กับการศึกษา การส่งเสริมความเป็นธรรมในการจ้างงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
-
เพื่อให้มีการคุ้มครองและให้สวัสดิการทางสังคม (Social Welfare and Protection) เช่น การจัดการกับช่องว่างทางด้านความยากจนระหว่างชนชั้น การสร้างความมั่นคงของมนุษย์ (human security) การสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (social safety net) เป็นต้น
-
เพื่อให้เกิดการรักษาสิทธิและความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice and Rights) เช่น เรื่องของสิทธิสตรี เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ การคุ้มครองแรงงาน เป็นต้น
-
เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม (Ensuring Environmental Sustainability) เช่น การจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการป่าไม้ให้ยั่งยืน และการปรับตัวต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) เป็นต้น
-
เพื่อสร้างอัตลักษณ์แห่งอาเซียน (Building the ASEAN Identity) เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกันของวัฒนธรรมอาเซียน การรักษา บริการจัดการ และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอาเซียน เป็นต้น
-
เพื่อลดช่องว่างการพัฒนา (Narrowing the Development Gap)
รูปภาพโดย : http://www.m-society.go.th/asean/ewt_news.php?nid=39&filename=index
เมื่อกลับมาพิจารณาประเทศไทยกับบทบาทในด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เช่น ด้านการศึกษา ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนในด้านการศึกษา ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม 2555 เพื่อติดตามความคืบหน้าและการดำเนินการในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างการโอนหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษาระหว่างกันของมหาวิทยาลัยในอาเซียน (ASEAN Credit Transfer System: ACTS) ภายใต้กรอบของเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network: AUN)
ต่อเนื่องจากผลของ AUN ได้นำมาสู่การวางกรอบการประเมินคุณภาพกลางของมหาวิทยาลัย ในอาเซียนในชื่อ “เครือข่ายการประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network Quality Assurance: AUN-QA)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ระบบกลไกการประกันคุณภาพการศึกษาและมาตรฐานการอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยสมาชิกอาเซียนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและลดช่องว่างในด้านการศึกษา
นอกจากนี้ ความร่วมมือของรัฐบาลและกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม (Civil society organization) ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเตรียมพร้อมประเทศไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยจากรายงานของ Siam Intelligence ได้กล่าวถึงปัญหาความร่วมมือของอาเซียนถูกดำเนินการโดยรัฐบาลในยุคสมัยต่างๆ และค่อนข้างขาดการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางจากภาคประชาชน เนื่องจากอาเซียนยังมีกลไกที่ไม่ใคร่จะชัดเจนนัก ในการเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วม
จึงนำมาสู่ข้อเสนอในเรื่อง “ภาคประชาสังคมอาเซียน” ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียน ภาคประชาชน (ASEAN Civil Society Conference: ACSC) ในงานประชุม ASEAN People Forum ซึ่งเวทีภาคประชาชนลักษณะนี้จะจัดคู่ขนานไปกับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN SUMMIT) ที่จัดขึ้นทุกปี และประสานงานผ่านการตั้งกลุ่ม Solidarity for Asian Peoples’ Advocacies (SAPA) เป็นความพยายามของภาคประชาชนที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันประเด็นในอาเซียน เช่น ประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม เพศสภาพ การค้า การลงทุน การช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างเสาหลักของสังคมวัฒนธรรมอาเซียนให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
สำหรับตัวอย่างของหน่วยงานราชการไทยที่ได้มีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน อย่างสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีการนำเสนอ “โครงการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 2557-2559” โดยมีสาระสำคัญว่าด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้เป็นหน่วยงานประสานงานหลัก (Focal point) ของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เพื่อให้การเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงต้องจัดทำยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของไทย ผ่านภารกิจหลัก 7 ด้าน ประกอบด้วย
-
ส่งเสริมให้ไทยเป็นประเทศชั้นนำในด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของอาเซียน
-
ส่งเสริมคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและ มีบทบาทนำในการสร้าง ความร่วมมือ ด้านการคุ้มครองและสวัสดิการสังคมในอาเซียน
-
ส่งเสริมความยุติธรรมและสิทธิและมีบทบาทนำในการสร้างความร่วมมือดังกล่าวในอาเซียน
-
ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและมีบทบาทนำในการสร้างความร่วมมือดังกล่าว ในอาเซียน
-
ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรมอาเซียน
-
เสริมสร้างความร่วมมือเพื่อลดช่องว่างระดับการพัฒนา โดยเฉพาะมิติทางสังคมระหว่าง ประเทศสมาชิกเก่า 6 ประเทศและประเทศสมาชิกใหม่ (CLMV) และบางพื้นที่ในอาเซียน ที่โดดเดี่ยว และยังคงด้อยพัฒนา
-
ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านบุคลากรในด้านองค์กร ในด้านระบบข้อมูลสารสนเทศ ในการเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนจึงไม่ใช่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์ร่วมกันระหว่างประเทศเพื่อให้เกิด “อัตลักษณ์อาเซียน” ที่เน้นในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนการรักษามรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในอาเซียน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขึ้น โดยก้าวผ่านข้อจำกัดในเรื่อง ของ “ชาตินิยม” ของแต่ละประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามความต้องการของอาเซียนภายใต้คำขวัญที่ว่า “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (one vision, one identity, one community)
อ้างอิง