สตาร์ทอัพเทคโนฯเกษตรยกระดับชีวิตชาวไร่อินเดีย


 
สตาร์ทอัพเทคโนฯเกษตรยกระดับชีวิตชาวไร่อินเดีย โดยข้อมูลและเอไอเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงความสามารถด้านการผลิตและการทำมาหากินของเกษตรกรอินเดีย
 
ทุกวันนี้ สตาร์ทอัพเทคโนโลยีการเกษตรในอินเดียเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเข้ามาช่วยปรับปรุงพื้นที่การเกษตรที่ถูกทิ้งร้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศและเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานคนจำนวนมาก ที่สำคัญไปกว่านั้น บริษัทเหล่านี้กำลังช่วยเพิ่มความสามารถด้านการผลิตที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำในหมู่เกษตรกรที่มีฐานะยากจน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย รวมทั้ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ)
 
บริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้เสนอการสนับสนุนทางธุรกิจแก่เกษตรกร อาทิ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการทำการเกษตร และช่วยวางกลยุทธในการเพาะปลูกโดยใช้ข้อมูลด้านสภาพอากาศและจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรแก่บรรดาผู้ค้าปลีกโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง
 
สตาร์ทอัพเทคโนโลยีการเกษตรมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในความพยายามปรับปรุงการดำเนินชีวิตของครอบครัวเกษตรกรอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วน60% ของประชากร 1.3 พันล้านคนของประเทศ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาสำคัญทางสังคมบางอย่างในอินเดียที่ถือเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ3ของภูมิภาคเอเชียด้วย
 
ข้อมูลจากเมเปิล แคปิตัล แอดไซเซอร์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนอินเดียระบุว่า เมื่อปี 2562 สตาร์อัพเทคโนโลยีการเกษตรดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 244 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 350% โดยแซนกาเมช ทัลลิโคติ เกษตรกรปลูกทะเขือเทศในรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสตาร์ทอัพเทคโนโลยีการเกษตร
 
หลังจากได้รับคำแนะนำจากโวลคุส เทคโนโลยี โซลูชันส์ ที่ให้บริการด้านคำปรึกษาในการทำการเกษตรที่เรียกว่าฟาซาลแล้ว การบริหารจัดการฟาร์มมะเขือเทศของเขาลดการใช้น้ำไปได้ประมาณ 60%
 
ขณะที่แพลทฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเอไอในการสนับสนุนระบบนิเวศด้านการเกษตรส่งคำแนะนำรายวันเข้าไปยังสมาร์ทโฟนของเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศรายนี้ อาทิ ต้องใช้น้ำรดต้นมะเขือเทศมากน้อยแค่ไหน และในเวลาใด และแพลทฟอร์มนี้ยังรวบรวมข้อมูล อาทิ อุณหภูมิและความชื้นของดินผ่านตัวเซนเซอร์ซึ่งติดตั้งในพื้นดินเพื่อส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท จากนั้นก็โยงข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาในท้องถิ่นเพื่อวิเคราะห์โดยใช้ระบบเอไอของบริษัท ก่อนที่จะส่งคำแนะนำต่างๆกลับไปยังเกษตรกร
 
ปัจจุบัน มีเกษตรกรอินเดียใช้แอพพลิเคชันฟาซาลประมาณ 1,600 คนและเกษตรกรเหล่านี้ทำงานบนพื้นที่ทางการเกษตรจำนวนกว่า 10,000 เอเคอร์ หรือ 25,300 ไร่ ใน4 รัฐของอินเดีย รวมถึง รัฐกรณาฏกะ และรัฐมหาราษฏระ ทางตะวันตกของประเทศ
 
เกษตรกรส่วนใหญ่ในอินเดียปลูกพืชผลการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกเล็กๆขนาด 1 เฮกตาร์ (1.25 ไร่) หรือเล็กกว่านั้น ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็กนี้มีสัดส่วน 70% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เกษตรกรที่เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็กเหล่านี้ยังใช้เทคนิคเก่าๆในการปลูกพืช และบางรายอาจจะใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมในการปลูกพืชผลทางการเกษตรของตัวเอง และเกษตรกรเหล่านี้ มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 1 หมื่นรูปีเล็กน้อย(135 ดอลลาร์) น้อยกว่าอัตราค่าจ้างโดยเฉลลี่ยของประเทศซึ่งอยู่ที่ 11,200 รูปี และในแต่ละปีจะมีเกษตรกรชาวอินเดียที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายประมาณ 1 หมื่นคน ในจำนวนนี้ ฆ่าตัวตายเพราะถูกรุมเร้าจากปัญหาหนี้สิน
 
ในปี 2559 รัฐบาลนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศเป้าเพิ่มรายได้เกษตรกรทั่วประเทศให้ได้สองเท่า ภายในปี 2565 ด้วยการช่วยเพิ่มความสามารถด้านการผลิตแก่เกษตรกรเหล่านี้ และการทำให้ได้ตามเป้า สตาร์ทอัพเป็นหนึ่งในตัวช่วยเกษตรกรเหล่านี้
 
“ยูลิงค์ อกริเทค” (ULink AgriTech)สตาร์ทอัพเทคโนโลยีการเกษตรที่มีฐานดำเนินงานในรัฐมหาราษฏระตั้งคอลล์เซนเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาแก่บรรดาเกษตรกรที่มีปัญหาต่างๆในการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร โดยพนักงานประจำคอลล์เซนเตอร์ของบริษัทในเมืองปูเน่ ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมของรัฐ ต้องรับมือกับคำถามมากมายจากเกษตรกรที่หลั่งไหลเข้ามาในแต่ละวันพร้อมทั้งให้คำแนะนำผ่านทางแอพฯบนสมาร์ทโฟนที่ชื่อ“อะโกรสตาร์” โดยบริษัทไม่ได้คิดค่าบริการในการให้ข้อมูลต่างๆ แต่บริษัททำเงินจากการจำหน่ายและส่งมอบปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรจากศูนย์กระจายสินค้าที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ
 
นี่คือการบริการที่ดีเยี่ยมในสายตาเกษตรกรจำนวนมากที่ต้องเดินทางไกลเพื่อหาซื้อปุ๋ยและสิ่งของต่างๆที่นำมาใช้ในการเพาะปลูก เนื่องจากอินเดียยังไม่ได้พัฒนาเครือข่ายกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
 
“โมเดลธุรกิจของเราทำหน้าที่ให้แก่เกษตรกรสองอย่างคือ หนึ่งเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร และยังลดต้นทุนในการเพาะปลูกให้แก่เกษตรกรด้วย”ชาร์ดุล เชธ ซีอีโอยูลิงค์ กล่าว
 
ในปี 2562 บริษัทระดมทุนได้ 27 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายการดำเนินงานทั่วประเทศหลังจากเปิดตัวมาได้ไม่กี่ปี
 
 
 
 

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ