จีนกล่าวหาฝ่ายประชาธิปไตยฮ่องกงมุ่งก่อปฏิวัติ


 
หลังขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงจัดการเลือกตั้งขั้นต้นอย่างไม่เป็นทางการเมื่อ 11-12 ก.ค. เพื่อสรรหาตัวผู้สมัครไปชิงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ (เลกโก) ในการเลือกตั้งเดือน ก.ย.นี้ โดยตั้งเป้าครองเสียงข้างมากในเลกโก เพื่อยับยั้งหรือวีโต้ร่างกฎหมายงบประมาณและ ก.ม.สำคัญอื่นๆของรัฐบาล นับเป็นกลยุทธ์ใหม่ในการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย หลังจีนบังคับใช้ ก.ม.ความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกงเมื่อ 30 มิ.ย. และเข้าไปตั้งสำนักงานความมั่นคงในฮ่องกงเป็นครั้งแรกนั้น
 
ล่าสุดเมื่อคืน 13 ก.ค.สำนักงานประสานงานของจีนในฮ่องกงแถลงกล่าวหาว่า การจัดการเลือกตั้งขั้นต้นของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมีผู้ออกไปลงคะแนนล้นหลามกว่า 600,000 คนนั้น เป็นการยุยงต่อต้านระบบเลือกตั้งปัจจุบัน การรณรงค์ผลักดันควบคุมและทำให้เลกโกเป็นอัมพาต ละเมิดมาตรา 22 ของ ก.ม.ความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งห้ามการล้มล้างอำนาจรัฐ ห้ามการแทรกแซงขัดขวางรัฐบาลจีนและฮ่องกง พร้อมทั้งกล่าวหานายเบนนี ไท่ แกนนำผู้จัดการเลือกตั้งและฝ่ายค้านว่ามีเป้าหมายยึดอำนาจการปกครอง ด้วยการพยายามก่อ “การปฏิวัติสี” ซึ่งปกติรัฐบาลและสื่อจีนหมายถึงการปฏิวัติที่ผิดกฎหมาย มีกองกำลังแอบแฝง ที่ปกติหมายถึงชาติตะวันตกสนับสนุน
 
ส่วนนางแคร์รี แลม ผู้นำฮ่องกงก็แถลงเช่นกันว่า การเลือกตั้งขั้นต้นของฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อหวังครองเสียงข้างมากในเลกโกและขัดขวางนโยบายรัฐบาล อาจเข้าข่ายล้มล้างรัฐบาลภายใต้ ก.ม.ความมั่นคงฉบับใหม่
 
ด้านนายเนธาน หลอ หนึ่งในแกนนำนักศึกษาผู้นำการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงตั้งแต่ปี 2557 โพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อ 13 ก.ค.วันคล้ายวันเกิดครบ 27 ปี ของตนว่า ตนได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอนในอังกฤษแล้ว กำลังวางแผนว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปในดินแดนใหม่ที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ นายหลอเผยเมื่อ 5 วันก่อนว่าได้หนีออกจากฮ่องกงเพราะหวั่นอันตรายจาก ก.ม.ความมั่นคงฉบับใหม่ โดยนายหลอเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรค “เดโมซิสโต” ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง ซึ่งยุบตัวเองไปในวันที่มีการบังคับใช้ ก.ม.ความมั่นคงฉบับใหม่ นายหลอและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอื่นๆ รวมทั้งนายโจชัว หว่อง ต่างถูกรัฐบาลจีนกล่าวหาว่าเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน และ “มือมืด” สมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติเพื่อบ่อนทำลายจีน ถึงแม้พรรคเดโมซิสโตไม่ได้เรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยตรง
 
อนึ่ง รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงกล่าวหาว่าจีนพยายามอ้างกรรมสิทธิ์เหนือท้องทะเลต่างๆในภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น และใช้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เร่งแพร่ขยายอิทธิพลและความเหนือกว่าทางยุทธศาสตร์ของตน ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อญี่ปุ่นและภูมิภาคนี้.
 
 
 
 

ที่มา:ไทยรัฐ