กงสุลใหญ่ ณ เมืองชิงต่าว เข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์นานาชาติ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว เขตเหลาซาน เมืองชิงต่าว


 
เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๓ นางสาวนภัสพร ภัทรีชวาล กงสุลใหญ่ ณ เมืองชิงต่าว ได้เข้าร่วมพิธี วางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์นานาชาติ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว เขตเหลาซาน เมืองชิงต่าว มณฑลซานตง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายเซวีย ชิ่งกั๋ว รองนายกเทศมนตรีเมืองชิงต่าว นายฉิน เฉิงหย่ง
 
รองประธานคณะกรรมการสุขภาพและสาธารณสุขมณฑลซานตง นายหลิว หย่ง ผู้อำนวยการกองพัฒนาสังคมแห่งคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปมณฑลซานตง นางหลิว เซิ่งเจิน รองประธานคณะกรรมการสภาประชาชนเมืองชิงต่าว นายหยาง หงจวิน รองประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งเมืองชิงต่าว นายเซี่ย ตงเหว่ย อธิการบดีมหาวิทยาลัยชิงต่าว และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน
 
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๔๔๑ แบ่งเป็น ๔ เขต ได้แก่ เขตชื่อเป่ย เขตซื่อหนาน เขตใหม่ชายฝั่งทะเลตะวันตก และเขตเหลาซาน มีเตียงให้บริการ ๕,๐๔๖ เตียง ในปี ๒๕๖๑ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าวได้รับการจัดอันดับที่ ๖๙ จากการจัดอันดับของ China Hospital Ranking และมีจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาพยาบาล ๕,๒๗๓,๐๐๐ คน จัดอยู่ในอันดับที่ ๘ ของประเทศจีน ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์นานาชาติ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว ตั้งอยู่ในบริเวณของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิงต่าว เขตเหลาซาน มูลค่าการลงทุนประมาณ ๖๓๓ ล้านหยวน พื้นที่ก่อสร้างรวม ๖๐,๕๐๐ ตร.ม. อาคารสูง ๒๒ ชั้น และมีชั้นใต้ดิน ๔ ชั้น วางแผนให้บริการเตียงผู้ป่วย ๓๐๐ เตียง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปลายปี ๒๕๖๔ โดยศูนย์การแพทย์ฯ นี้ เน้นให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวต่างชาติ พร้อมยกระดับการบริหาร คุณภาพ สิ่งแวดล้อมและบริการให้ได้มาตรฐานสากล ศูนย์การแพทย์ฯ จะอบรมและเชิญทีมงานทางการแพทย์และผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถทางการแพทย์ในระดับสากลเข้าไปทำงาน ตลอดจนนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับสูง ใช้หุ่นยนต์และระบบท่อลมในการรับส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมการรักษาพยาบาลที่สะดวกสบาย และให้บริการการแพทย์ครบวงจรตั้งแต่การป้องกัน คัดกรอง วินิจฉัย รักษา พักฟื้นและการจัดการสุขภาพ ก้าวสู่การเป็นแพลตฟอร์มการให้บริการทางการแพทย์ระดับไฮเอนด์ของเมืองชิงต่าวรวมไปถึงมณฑลซานตง
 
 
 
 
 

ที่มา:กระทรวงการต่างประเทศ