รัฐบาลไทยสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่เมียนมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)


 
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ กระทรวงการต่างประเทศรับมอบหน้ากากอนามัยจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ชิ้นจากบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด โดย ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้ช่วยบริหารประธานคณะผู้บริหารและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร เพื่อส่งมอบให้รัฐบาลเมียนมาในนามรัฐบาลไทย เพื่อช่วยเหลือเมียนมาในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ โดยนายชุตินทร คงศักดิ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรับมอบ ที่กระทรวงการต่างประเทศ
 
ไทยตระหนักถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างขีดความสามารถของเมียนมา ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทย ในการรับมือกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพี่อชะลอการระบาดออกไปในวงกว้าง โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาทางการเงิน และร่วมมือกับภาคเอกชนไทยในลักษณะ Public Private Partnership (PPP) ที่มีความประสงค์จะให้การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่รัฐบาลเมียนมา รวมถึงการร่วมมือกับบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ในการสนับสนุนหน้ากากอนามัยจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ชิ้น โดยนายชุตินทร คงศักดิ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวขอบคุณบริษัทฯ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการช่วยเหลือกันในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
 
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑) จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน รวมถึงพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้แผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาไทย-เมียนมา ระยะ ๓ ปี สาขาสาธารณสุข และในกรอบอื่น ๆ อาทิ ชุด PPE ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและการตรวจรักษาโรค เครื่อง RT-PCR แบบเคลื่อนย้ายและพกพาได้สำหรับจุดผ่านแดนสากลและตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา อุปกรณ์สำหรับห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ และห้องตรวจเชื้อความดันลบหรือบวกแบบเคลื่อนที่ได้ (๒) จัดกิจกรรมการฝึกอบรมทางไกลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ให้แก่เมียนมา และพัฒนาองค์ความรู้ในการรับมือกับโรคโควิด-๑๙ และมีแผนที่จะดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอีก โดยต่อไป จะเป็นการให้คำปรึกษาทางการแพทย์แบบ Real Time เพื่อเปิดช่องทางให้แพทย์เมียนมาและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไทยให้การปรึกษาในการรักษาและอภิบาลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดอัตราการเสียชีวิต
 
 
 
 
 

ที่มา:กระทรวงการต่างประเทศ