กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขของไทยและเกาหลีใต้หารือยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงทางสาธารณสุข


 
อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกประชุมคณะทำงานระดับอธิบดีเพื่อเตรียมการการประชุมกลไกการหารือทวิภาคีว่าด้วยความมั่นคงด้านสาธารณสุขแบบ ๒+๒ ไทย-เกาหลีใต้ ขับเคลื่อนความมั่นคงด้านสาธารณสุขในระดับรัฐมนตรี ผสานความร่วมมือระดับทวิภาคี อนุภูมิภาค ภูมิภาค และระดับนานาชาติ
 
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๔ นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) เข้าร่วมการประชุมคณะทำงานระดับอธิบดีเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมกลไกการหารือทวิภาคีว่าด้วยความมั่นคงด้านสาธารณสุขแบบ ๒+๒ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยฝ่ายเกาหลีใต้มีนายชอง ยัง-ซู หัวหน้าทีมนโยบาย ศูนย์ประสานงานโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ และนายชอง ฮง-กึน อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ เข้าร่วม
 
ฝ่ายไทยได้เห็นพ้องกับข้อเสนอของฝ่ายเกาหลีใต้ที่จะริเริ่มกลไกหารือทวิภาคีระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความมั่นคงด้านสาธารณสุขดังกล่าว เพื่อเป็นเวทีให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของทั้งสองประเทศร่วมกันหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคี อนุภูมิภาค ภูมิภาค และเวทีระหว่างประเทศ โดยคาดว่าการประชุมครั้งที่ ๑ จะจัดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล และจะมีวาระการหารือครอบคลุมความร่วมมือในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ความมั่นคงด้านสาธารณสุข หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การส่งเสริมสุขภาพ การอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปมาระหว่างประเทศ การคุ้มครองดูแลคนไทยและคนเกาหลีใต้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขผ่านนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัส (New Southern Policy Plus - NSPP) ของเกาหลีใต้ กรอบอาเซียน กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - เกาหลีใต้ และในเวทีระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลกและกรอบวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก (Global Health Security Agenda – GHSA)
 
 
 
 

ที่มา:กระทรวงการต่างประเทศ