ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ ๑ กับคู่เจรจา หนุนความร่วมมือพัฒนาด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนต่อเนื่อง


 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔ นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ ๑ ร่วมกับ คู่เจรจา ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ห้องประชุม Brain Storming สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ กับ คู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) รวมทั้งรองเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีมาเลเซียทำหน้าที่ประธานการประชุมฯ
 
การประชุม ADGMIN ครั้งที่ ๑ กับคู่เจรจาในครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด – ๑๙ และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาด การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การส่งเสริมการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาเทคโนโลยี 5G การพัฒนาบุคคลากรด้านดิจิทัล รวมถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาบนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุวิสัยทัศน์ของแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัล (ASEAN Digital Masterplan 2025: ADM 2025)  
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการรับรองแผนงานความร่วมมือด้านดิจิทัลและกิจกรรมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาในปี ๒๕๖๔ ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบสนองต่อความท้าทายและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
 
โอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ได้ร่วมกล่าวขอบคุณการดำเนินงานความร่วมมือกับคู่เจรจาที่มีส่วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้สนับสนุนผ่านการดำเนินงานของศูนย์ความร่วมมืออาเซียน – ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ASEAN – Japan Cybersecurity Capacity Building Centre: AJCCBC) การผลักดันประเด็นความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งความร่วมมือโครงการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างไทยกับ ITU เพื่อเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีขององค์การระหว่างประเทศด้วย
 
 
 
 
 
 

ที่มา:รัฐบาลไทย