กต. เผยผลหารือ 'ดอน - เรตโน - หม่อง ลวิน' ต่อสถานการณ์เมียนมา


 
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยผลหารือระหว่าง 3 รัฐมนตรีต่างประเทศ "ไทย - อินโดนีเซีย - เมียนมา" ต่อสถานการณ์เมียนมา โดยไทยได้ยืนยันให้การสนับสนุนสันติภาพและเสถียรภาพ หวังสถานการณ์คลี่คลายอย่างสันติ
 
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า ในการหารือระหว่างนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับนางเรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียในวันนี้ (24 ก.พ.) ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Informal ASEAN Foreign Ministers’ Meeting) ในเดือนสิงหาคม
2564 ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะหารือกันต่อไป
 
ส่วนการเดินทางเยือนไทยของนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการทางการทูตระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีพรมแดนทางบกร่วมกันกว่า 2,400 กิโลเมตร และเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยจะได้รับฟังโดยตรงจากฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เมียนมาให้ความสำคัญและแลกเปลี่ยนความเห็นกันระหว่างเพื่อนบ้านเกี่ยวกับประเด็นที่มีความสำคัญสำหรับประชาชนของทั้งสองฝั่งชายแดน อาทิ ความร่วมมือสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความร่วมมือด้านแรงงาน
 
"ไทยได้ใช้โอกาสนี้ยืนยันการสนับสนุนสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมา และความหวังที่จะเห็นสถานการณ์ในเมียนมาได้รับการคลี่คลายโดยสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนเมียนมา ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของอาเซียนและเป็นสิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศปรารถนา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุ
 
การพบหารือระหว่างนายดอน กับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย และรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา เกิดขึ้นเนื่องจากรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาเดินทางมาพูดคุยกับฝ่ายไทย ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียได้นัดหมายไว้ก่อนหน้านี้ที่จะมาหารือกับไทยด้วย และแผนการเยือนเมียนมาที่เดิมทางฝ่ายอินโดนีเซียกำหนดไว้ไม่เกิดขึ้น จึงได้ประสานจัดให้คุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา เป็นการพูดคุยในฐานะมิตรประเทศสมาชิกอาเซียน
 
นอกจากนี้ นายธานียังกล่าวว่า การที่ฝ่ายเมียนมามาเยือน ในฐานะที่เมียนมาเป็นเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกครอบครัวอาเซียน และนายกรัฐมนตรีก็มีความห่วงใยในสถานการณ์ จึงได้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาเยี่ยมคารวะ
 
 
 
 
 
 
 

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ