1 ม.ค. 65 ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้ ช่วยลดต้นทุนเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าและบริการของไทย


นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งช่วยลดต้นทุนการผลิตและโอกาสส่งออกสินค้าและบริการ รวมทั้งดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ เพิ่มการจ้างงานให้กับแรงงานที่มีฝีมือและบุคลากรด้านวิชาชีพ และส่งเสริมบทบาทของไทยในฐานะห่วงโซ่การผลิตที่สำคัญของภูมิภาค
 
 
 
สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในภาคบริการอย่างมาก ซึ่งความตกลง RCEP จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยและประเทศในภูมิภาค โดยการเปิดตลาดภาคบริการของประเทศสมาชิกจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ ก่อสร้าง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านสุขภาพ ภาพยนตร์และบันเทิง รวมทั้งยังช่วยสร้างโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าไปทำงานในประเทศสมาชิก RCEP อีกด้วย
 
 
 
นอกจากนี้ การลด หรือยกเลิกกฎระเบียบและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน จะช่วยดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ไทยมีความต้องการและเกิดเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมาย S curve ซึ่งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการลงทุนในอาเซียนสูงและนักลงทุนไทยได้เข้าไปลงทุนในอาเซียนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
 
 
 
ภูมิภาค RCEP ถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญและเป็นกลไกหลัก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แม้ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบโควิด-19 แต่การลงทุนในภูมิภาค RCEP ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้ความตกลง RCEP จะทำให้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอำนวยความสะดวกและการลดอุปสรรคทางการค้า ผู้สนใจทำการค้าในตลาด RCEP จึงควรเร่งทำความเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศสมาชิก และศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค ตลอดจนช่องทางการจำหน่าย เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าในตลาด RCEP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 
 
 

ที่มา:ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอาเซียน กรมประชาสัมพันธ์